ไม่มีใครอยากรู้สึกเครียดกับเรื่องเงินทุกสิ้นเดือน แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับเจอกับวัฏจักรซ้ำซาก—รายได้เข้าไม่ทันไรก็หายไปในพริบตา คำถามว่า “แบ่งเงินใช้ยังไง” จึงไม่ใช่แค่ประเด็นของการเงิน แต่คือการออกแบบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ การแบ่งเงินต้องเริ่มตอนที่มีรายได้เยอะ หรือหลังปลดหนี้ทั้งหมดแล้วเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ยิ่งมีรายได้น้อย ยิ่งควรแบ่งเงินอย่างมีกลยุทธ์ เพราะนั่นคือทางรอดที่แท้จริงในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน
เข้าใจบริบทการใช้ชีวิตก่อนคิดจะแบ่งเงิน
การแบ่งเงินแบบยั่งยืนไม่ใช่แค่การคำนวณตัวเลขแล้วจัดสรรเป็นสัดส่วนเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “คุณใช้ชีวิตแบบไหน และอยากเปลี่ยนอะไร?”
ถ้าเราต้องการใช้จ่ายแบบไม่รู้สึกผิด สะสมความมั่นคง และมีชีวิตที่ไม่พึ่งเงินเดือนเดือนต่อเดือน การแบ่งเงินต้องสะท้อนเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว โดยไม่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัด หรือหมดแรงตั้งแต่เดือนแรก
สร้างโครงแผนการเงินที่ปรับตามจังหวะชีวิต
การแบ่งเงินอย่างมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ควรมี “โครง” ที่ยืดหยุ่นได้ โครงสร้างที่แนะนำคือการแบ่งเงินออกเป็น 4 กลุ่ม โดยตั้งชื่อให้สัมพันธ์กับคุณค่าชีวิต มากกว่าหมวดหมู่บัญชี
ตัวอย่างการแบ่งเงินแบบมีความหมาย
- ค่าชีวิตพื้นฐาน: ครอบคลุมที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร ค่าการเดินทาง — ประมาณ 50–60%
- เงินเพื่อความก้าวหน้า: สำหรับพัฒนาทักษะ ลงทุน หรือศึกษาต่อ — 10–15%
- เงินสำรองและออมเป้าหมาย: ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน หรือเก็บเพื่อความฝัน — 20%
- เงินเติมใจ: ค่าใช้จ่ายที่ให้ความสุข เช่น หนังสือ ร้านกาแฟ ของขวัญเล็ก ๆ — 5–10%
การตั้งชื่อให้กับเงินแต่ละกลุ่มจะช่วยให้คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับมัน และไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลัง “ถูกบังคับ” ให้ใช้ตามแผน
อย่าเริ่มจากสูตร แต่เริ่มจากความจริงในกระเป๋า
สิ่งที่ทำให้หลายคนล้มเลิกแผนการเงินไม่ใช่เพราะไม่มีวินัย แต่เพราะแผนที่เลือกไม่ตรงกับชีวิตจริง เช่น ใช้สูตร 50/30/20 แต่รายจ่ายจริงเกิน 70% แล้วจะเอาที่ไหนไปเก็บเงิน?
ถ้าคุณมีรายได้ไม่แน่นอน เป็นฟรีแลนซ์ หรือมีหนี้สะสมสูง แผนที่ใช้ได้จริงต้อง “กันเงินไว้ก่อนใช้” ทุกครั้งที่ได้เงินเข้า และยืดหยุ่นตามรอบรายได้ เช่น:
- แบ่ง 10–15% ออกไปเป็นเงินออมทันที
- กันอีก 5–10% เพื่อภาระหนี้
- ส่วนที่เหลือจึงจัดสรรตามหมวดจำเป็นกับเป้าหมายเฉพาะหน้า
นิสัยเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนผลลัพธ์ทางการเงินอย่างถาวร
การแบ่งเงินจะกลายเป็นนิสัยได้ก็ต่อเมื่อคุณไม่รู้สึกว่ามันคือ “งานบ้าน” แต่คือเครื่องมือช่วยให้คุณควบคุมชีวิตได้ดีขึ้น ซึ่งเริ่มจากพฤติกรรมง่าย ๆ:
- ใช้ชื่อบัญชีที่มีเป้าหมาย เช่น “เที่ยวญี่ปุ่น” “ทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ”
- โอนเงินอัตโนมัติเข้าบัญชีออมทันทีหลังได้เงินเข้า
- บันทึกรายรับรายจ่ายแบบสั้น ๆ ทุกสัปดาห์ (ใช้ emoji ยังได้!)
- ลองใช้ cash envelope หรือซองดิจิทัลสำหรับแต่ละหมวด
จัดระเบียบการเงินแบบไม่กดดันตัวเอง
หลายคนเริ่มต้นแบ่งเงินอย่างฮึกเหิม แต่พอใช้ไม่ได้เดือนเดียวก็รู้สึกผิด แล้วเลิกทำไปเลย ทั้งที่ความจริงคือ การเงินเป็นเรื่องของความค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบตั้งแต่วันแรก
หากเดือนนี้แบ่งได้แค่ 3 กลุ่มจาก 4 ก็ไม่เป็นไร หากเดือนนี้ต้องดึงเงินจากซอง “เติมใจ” มาโปะค่ารถ ก็ไม่ใช่เรื่องล้มเหลว แต่คือการปรับจังหวะตามชีวิตที่จริง
รีวิวแผนการเงินทุกไตรมาสด้วยคำถามทรงพลัง
ไม่จำเป็นต้องรอให้มีปัญหาก่อนถึงจะปรับแผน ลองนัดตัวเองเดือนละ 1 ครั้ง หรือไตรมาสละ 1 ครั้งเพื่อถามคำถามเหล่านี้:
- สิ่งที่ใช้จ่ายไป สะท้อนสิ่งที่เราให้คุณค่าจริง ๆ หรือไม่?
- เป้าหมายเก็บเงินตอนนี้ ยังตรงกับความต้องการอยู่หรือเปล่า?
- มีหมวดไหนที่ใช้เงินเกิน เพราะเหตุผลด้านอารมณ์?
การแบ่งเงินจะยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อมันพัฒนาไปพร้อมกับเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องฝืนเดินตาม
บทส่งท้าย: แบ่งเงินใช้ยังไงให้เป็นธรรมชาติของชีวิต
คำถามว่า “แบ่งเงินใช้ยังไง” อาจเริ่มจากความกังวล แต่เมื่อเข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่การคุมตัวเลข แต่คือการสร้างความสัมพันธ์กับ “บทบาทของเงิน” ในชีวิตเรา คุณจะพบว่านี่ไม่ใช่แค่การวางแผน แต่มันคือ การออกแบบความมั่นคงที่เคลื่อนไปพร้อมตัวตนของคุณ
อย่าเริ่มจากแผนที่ดูดีในกระดาษ แต่ให้เริ่มจากจุดเล็กที่สุดที่คุณรู้สึก “ทำได้แน่นอน” และค่อย ๆ ต่อยอดไปสู่ภาพที่ชัดขึ้น เหมือนเงินเป็นทีมที่คอยสนับสนุนชีวิต ไม่ใช่เจ้านายที่คอยบงการเรา
และนั่นคือคำตอบของคำถามที่หลายคนเฝ้าถามตัวเองมานานว่า “จะแบ่งเงินใช้ยังไงให้รอด มีเก็บ และไม่เครียด?” — เริ่มจากรู้จักชีวิตตัวเองก่อน แล้วใช้เงินให้ตอบสิ่งนั้นอย่างมีเป้าหมาย















